วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2559

รีวิว Finding Dory






Finding Dory หนังภาคต่อจาก Finding Nemo ที่รอกันมายาวนานเหลือเกินถึง 13 ปีด้วยกัน นานมากกกกกกกกกกก จริงๆไปดูมาตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว แต่พึ่งจะมีโอกาสได้มารีวิว

ผมขอยอมรับว่าช่วงหลังๆ พออายุมากขึ้น การดูหนังการ์ตูน หรือ อนิเมชั่น ต่างๆ มันก็ไม่ได้อินจัดเหมือนเดิมอีกแล้ว มีแค่ไม่กี่เรื่องเท่านั้นแลหะที่จะทำให้อินจริงๆ อยากจะบอกว่า Finding Dory เป็น
หนึ่งในนั้นด้วยความที่ Finding Nemo มันนานมาแล้ว นานมากๆๆๆๆ จนจำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นไม่ได้นอกจากสีตัวปลา เลยเป็นการไปดู Dory แบบ No information at all. แต่หนังกลับทำให้ผมเข้าใจอะไรๆได้ง่ายๆโดยไม่ได้คิดถึงเรื่องว่า เป็นหนังภาคต่อของนีโม่เลยแม่แต่น้อย

ใครยังไม่ได้ดู จะอ่านข้ามตรงนี้ไปก็ได้นะครับ เพราะไม่รู้ว่าเป็นการสปอยรึเปล่า
สิ่งที่ชอบในตัวหนังคือ 
- การเล่าเรื่องด้วยวิธี flashback ที่สลับไปสลับมา ในขณะที่ความจำของดอลลี่ ค่อยๆฟื้นขึ้นมาทีละนิดๆ เป็นอะไรที่ทำให้หนังไม่น่าเบื่อ ทุกครั้งที่เราเริ่มว่อกแว่กไป โดยเฉพาะคนที่สมาธิสั้นแบบผม หนังจะดึงเรากลับมา ให้อยู่กับหนังได้เสมอ และด้วยการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างเร็ว ไม่มีฉากไหนที่หนังทำให้เรารู้สึกว่า ฉากนี้เริ่มนานไปแล้ว เริ่มน่าเบื่อแล้ว ต้องปรบมือให้คนทำหนังเรื่องนี้- มุกตลกที่หนังปล่อยออกมาแบบไม่กั๊ก ฮาเป็นระยะๆ แถมบางทียัง ฮา แบบต่อเนื่องด้วย ยิ่งช่วงครึ่งสุดท้ายนี่ เป็นอะไรที่ทำให้ผมหัวเราะแทบไม่ได้หยุดเลย ( ไม่รู้ว่าเป็นคนเส้นตื้นรึเปล่า แต่คนทั้งโรงเค้าก็หัวเราะกันนะ)

- มิตรภาพ ระหว่าง เพื่อนๆและ ครอบครัว อย่างที่บอกว่าหนังเรื่องนี้กลุ่มเป้าหมายเค้าก็คงเป็นเด็กแหละ แต่ผู้ใหญ่อย่างเรารู้สึกว่า มันเป็นอะไรที่ดีงามพระราม8 มาก หนังให้เรารู้สึกถึงความอบอุ่นระหว่างพ่อแม่ และเพื่อนๆ โดยที่ ไม่โดนทำให้รู้สึกว่าโดนยัดเยียดซักนิด มีฉากที่ทำให้ผมรู้สึกว่า ได้มากกว่านี้อีก- ไหนให้ข้อคิดในเรื่องการใช้ชีวิต ผ่านตัวละคร ดอรี่ ได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะในเรื่องของ การแก้ปัญหา การเอาชนะปัญหา การทำโฟสกัสและจัดการกับสิ่งตรงหน้าให้ดีที่สุด และการตามความฝัน ทำมันให้สำเร็จ

สิ่งที่ไม่ชอบ ถามว่าสิ่งที่ไม่ชอบจริงๆเลย คือหาได้น้อยมากๆ แต่คือรู้สึกได้ว่า หนังเร็วเกินไป หรืออาจจะเป็นเพราะหนังมันทำให้เรารู้สึกเพลินจริงๆ จนทำให้เรา แบบ อ้าว นี่จบแล้วเหรอ ยังมีอะไรได้กว่านี้อีกป่ะ
สรุปได้คือ พาลูก พาหลานไปดูเถอะ หรือจะไปดูกับเพื่อน ไปดูกับแฟน แม้แต่ไปดูคนเดียว มันก็ได้อรรถรสไปอีกแบบ ต่อให้ดูแบบไหน ผมเชื่อว่าคุ้มกับค่าตั๋วที่จ่ายไปแน่ๆ ครับ แล้วคุณจะไม่รู้สึกผิดหวัง ถ้าเทียบกับหนังช่วงนี้ เช่น the conjuring 2, central intelligence, now you see me ผมให้ finding dory อันดับ 1 นะ คุ้มตังสุด แบบไม่ผิดหวังจริงๆ แต่ขอให้เป็นรอง Me before you นิดนึง อิอิ


แต่คะแนน ผมขอให้แค่ 8/10
ตัด 1 คะแนน เพราะหนังเร็วเกินไป กำลังนั่งเพลินๆเลย จบซะแล้ว อยากดู แล้วก็อีก 1 คะแนน เพราะรอนานถึง 13 ปี แต่แป๊ปๆจบ




วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2558

Review: Scream Queens first 2 eps

Scream Queens
Genre: Comedy, Horror




Info
After a 1995 sorority pledge gone wrong, someone is out for vengeance when a college campus is rattled by a series of murders at the twentieth anniversary of the crime.
credit: http://www.imdb.com/title/tt4145384/

Trailer


Review

ต้องบอกว่าเป็นซีรี่ย์อีกเรื่องของ Ryan murphy ที่คนรอคอยกันมาเป็นปีๆเลย เพราะโปรโมทกันนานมาก
สำหรับตัวผมเองที่ชอบแนวนี้อยู่แล้ว ตลกร้าย+ฆ่าตกรรม+ในแคมปัสมหาลัย+นักแสดงที่มีชื่อเสียง ไม่ได้เห็นอะไรอย่างนี้นานแล้ว แต่ก็บอกไม่ได้ว่าผิดหวังหรือเปล่า คือสนุกดีแต่ไม่ได้ถึงกับที่คิดไว้ แต่อาจจะเป็นเพียงแค่สองตอนแรกต้องรอดูกันต่อไป
ส่วนที่ชอบคือ เดินเรื่องกระชับ(มากๆ) มีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นใน EP เดียว คาแรคเตอร์ของนักแสดงทุกคนอยู่ในระดับดี โดยเฉพาะ Emma Roberts อย่างที่คาดไว้ รอดูฝีมือของ Jamie lee curtis ในตอนต่อๆไป ชอบบทของ Nick jonas กับ chanel no.5 ไม่ได้มีความรู้สึกว่าอยากรู้ว่าฆ่าตกรเป็นใคร แต่อยากรู้ว่าสาวๆในเรื่องจะรับมือกับแต่ละเหตุการณ์ในอนาคตยังไงมากกว่า เพราะแต่ละคนก็ดูจิตๆพอๆกับฆ่าตกร รอแค่เวลาปล่อยของเท่านั้น
มีฉากฮาๆค่อนข้างเยอะ ขำบ้างไม่ขำบ้างแล้วแต่อารมณ์
ส่วนที่คิดว่ายังต้องดูต่อๆไปคือ อย่างที่บอกตอนแรกคาดหวังไว้ว่าจะดาร์คและตัวละครสมเหตุผลสมผลกว่านี้ เหมือนใน Coven คือรู้ว่าจะเป็นคอมมาดี้ แต่ไม่คิดว่าจะล่องลอยขนาดนี้ ในหลายๆฉาก ไม่ใช่แค่เฉพาะฉากของ Ariana แต่เป็นตัวละครหลายๆตัว ที่อารมณ์ไม่ค่อยปะติดปะต่อ บางทีก็เฉยๆไปเลย ไม่รู้สึกรู้สา อย่างฉาก มิสบีนเป็นต้น ยิ่งใน Ep แรก ได้รับความรู้สึกว่า เขียนบทให้ เอมม่า ออกมาพูดจา Bitchy Bitchy ละก็ตัดไปซีนอื่นแบบงงๆซะงั้น เหมือนยังจับทางไม่ค่อยได้

ให้ 7/10 ละกัน เพราะเพิ่งสองตอนแรก ถึงเรตติ้งเปิดตัวจะน้อย แต่ก็ถือว่าเป็นแนวที่ชอบอีกแนว ดำเนินเรื่องเร็วกว่า Scream อีกอัน อันนั้นอืดอาดมาก แต่ Scream queens ดำเนินเรื่องเร็วดีมาก แต่ก็ยังตอบไม่ได้ว่าถ้าไม่มีนักแสดงดังๆเหล่านี้ จะทำให้อยากดูต่อรึเปล่า


วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2558

Review: Scream (Tvseries)

Scream (Tv series)



Scream ซีรี่ย์ฆ่าตกรรมเขย่าขวัญวัยรุ่น แรงบัลดาลใจจากหนังชื่อเรื่องเดียวกัน เริ่มด้วยมีการฆ่าตกรรมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเพื่อนๆรอบตัวของ เอมม่า หญิงสาววัย 16 ต้องตายไปทีละคนๆ ด้วยฆ่าตกรใส่หน้ากาก แต่แล้วเมื่อเธอสืบค้นหาความจริงมากขึ้น ก็ได้รู้ความลับบางอย่างเกี่ยวกับอดีตแม่ของเธอ

Trailer


Review

ผมเคยคิดว่าหนัง Slasher movie แบบนี้ จะทำเป็นซีรี่ย์ได้อย่างไร แต่พอได้ดูมาจนจบทั้งหมด 10 ตอน ก็กลับต้องเปลี่ยนความคิดในทันที
ซีรี่ย์เล่าเรื่องมีเสน่ห์พอประมาณ มีปมปริศนาตลอดเรื่องให้ขบคิด คาดเดาตลอดเรื่อง ถึงคิดมาตลอดว่าหน้ากากแบบGhostface แบบในหนังต้นฉบับน่าจะดีกว่า แต่ดูไปดูมาก็ไม่ได้เสียหายอะไร มีฉากClassic คล้ายในหนังออกมาตลอด หนังเล่าเรื่องทำให้เราไม่สามารถทิ้งใครออกจากผู้ต้องสงสัยได้เลย ทุกคนดูน่าสงสัยหมด
ข้อเสีย
ไม่ได้กะจะเปรียบเทียบกับเวอร์ชั่นหนังแต่อย่างใด แต่ว่าอย่างที่บอกซีรี่ย์เล่าเรื่องมีเสน่ห์แต่ก็ไม่ได้ดีไปทั้งหมด มีช่วงน่าเบื่อบ้างประปราย แต่เข้าใจว่าเป็นซีรีย์จึงต้องขยายรายละเอียดให้มากขึ้น เมื่อพอขยายรายละเอียดได้มากขึ้นทำให้เราพอเดาได้ว่าใครกันแน่ที่เป็นฆ่าตกร พอหนังเฉลยจึงไม่ได้ตื่นเต้นมากนัก
ตัวละครทุกตัวในเรื่องไม่ค่อยมีเสน่ห์เท่าที่ควร ไม่ค่อยน่าเอาใจช่วย โดยเฉพาะนางเอก ยิ่งช่วงสุดท้ายไม่ได้เก่งกาจใดๆเลย พอดูจบจึงรู้สึกว่ามันยังไม่สุด มันยังได้มากกว่านี้อีก แล้วมีฉากClassic ที่หวังจะได้เห็นมากกว่านี้ คือฉากโดนวิ่งไล่ที่บ้าน แทบจะไม่เห็นฆ่าตกรวิ่งไล่ใครเลย มีแต่เหยื่อวิ่งหนีไปเอง หรืออย่างเช่นฉากโทรศัพท์ตอนอยู่บ้านคนเดียวที่หวังว่าจะได้เห็นมากกว่านี้

ให้ 6/10 แล้วกัน ถือว่าดูฆ่าเวลาได้ระดับนึงเลย พอให้หายคิดถึงหนังแนว Scream ก็ต้องดูต่อไปว่า season 2 จะทำออกมาได้ดีกว่านี้ไหม เพราะยังมีซีรี่ย์แนวเดียวกันอย่างที่น่าจะเป็นคู่แข่งได้ดีอย่าง Scream queens ที่กำลังจะฉายอีกด้วย


วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Review: Inside out มหัศจรรย์อารมณ์อลเวง

Inside out

Genre: Animation, Adventure, Comedy
Directors: Pete docters, Ronaldo del camen
Stars: Amy poehler, Bill hader, Lewis black





Trailer



เรื่องย่อ

Inside Out มหัศจรรย์อารมณ์อลเวง เขาจะพาเราไปยังสถานที่แปลกประหลาดที่สุดที่คุณเคยไปมา ในสมองของเรา

          การเติบโตอาจไม่ใช่เรื่องง่าย และนั่นก็ไม่มีข้อยกเว้นสำหรับ "ไรลีย์" ที่เติบโตขึ้นมาจากชีวิตแบบตะวันตกตอนกลาง เมื่อพ่อของเธอต้องเริ่มงานใหม่ในซานฟรานซิสโก เช่นเดียวกับเราทุกคน ไรลีย์ถูกชักนำด้วยอารมณ์ต่าง ๆ ของเธอ ความสุข (เอมี่ โพเลอร์), ความกลัว (บิล เฮเดอร์), ความโกรธ (ลิววิส แบล็ค), ความน่ารังเกียจ (มินดี้ คาร์ลลิ่ง) และความเศร้า (ฟิลลิส สมิธ) อารมณ์ทั้งหมดอาศัยอยู่ในศูนย์บัญชาการใหญ่ ศูนย์ควบคุมกลางภายในจิตใจของไรลีย์ ที่ซึ่งพวกเขาคอยช่วยแนะนำเธอให้ผ่านชีวิตในแต่ละวันได้ 
          เมื่อไรลีย์และเหล่าอารมณ์ของเธอต้องต่อสู้กับการปรับตัวเพื่อชีวิตใหม่ในซานฟรานซิสโก ความโกลาหลจึงเกิดขึ้นในศูนย์บัญชาการใหญ่ ถึงแม้ว่าความสุข อารมณ์หลัก และอารมณ์ที่สำคัญที่สุดของไรลีย์พยายามที่จะทำทุกอย่างให้ดีขึ้น ความขัดแย้งทางอารมณ์ก็ได้เกิดขึ้นต่อการที่จะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหม่ บ้าน และโรงเรียนให้ดีที่สุดได้อย่างไร


Review



จริงๆตั้งแต่แรก ไม่ได้เป็นหนังที่มีความรู้สึกว่าอยากจะไปดูขนาดนั้นจากการที่ดู Trailer หรือเบื้องหลังอะไรก็ตาม แม้จะเป็นคนชอบดูหนังแนว Animation อยู่แล้ว
พอได้ไปดูแล้ว บอกเลยว่าชอบที่หนังมีความคิดสร้างสรรค์เราสามารถเข้าใจตัวเองมากขึ้นได้ บางทีแอบเผลอคิดว่าถ้าตัวเองมีแบบนั้นบ้าง อารมณ์ตัวไหนจะเป็นคนคุมคอนโทรลเรานะ555
หนังสามารถเล่าทุกอย่างให้เราเข้าใจได้ ภายในเวลานิดเดียว ถือว่าใช้เวลาคุ้มมากๆ และเพิ่มเติมรายละเอียดยิบย่อยตลอดการเดินเรื่องของหนัง
สิ่งที่ชอบที่สุดของหนังคงจะเป็นตัวเอกในการดำเนินเรื่องและแก๊งผองเพื่อนนั่นก็คือ Joy (ลั้ลลา) ภาคเสียงโดย Amy poehler ถือว่าเป็นตัวสำคัญของเรื่องนี้ในการแก้ปัญหาทุกอย่าง เป็นคาแรคเตอร์ที่ทำให้หนังอยู่ใน Mood ที่ positive มากๆ แล้วตัวที่ผมเอ็นดูอีกคนหนึ่งก็คือ Sadness ถึงบางครั้งจะน่ารำคาญไปหน่อย แต่หลังๆนี่เป็นประโยชน์มาก โดยเฉพาะ Bing Bong เพื่อนในจินตนาการสมัยเด็กของ Riley ที่เข้ามาช่วยสร้างสีสันกับเรื่องให้อย่างมาก
สิ่งที่ไม่ค่อยชอบ อย่างที่บอกว่า Sadness ช่วงแรกๆบางครั้งจะดูน่ารำคาญไปหน่อย (แต่ก็เป็นคีย์สำคัญให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ) ทำให้ช่วงแรกๆหงุดหงิดบ้าง แล้วก็มีช่วงที่แบบ ไม่ถือว่าน่าเบื่อซะทีเดียว แต่จะเป็นอารมณ์เหมือนแบบว่าอยากให้ผ่านไปไวมากๆกว่า
เหนือสิ่งอื่นใด มีหลายๆเพลงที่ชอบเหมือนกัน แล้วเชื่อว่าหนังเรื่องนี้ให้อะไรมากกว่าเสียงหัวเราะ และน้ำตา แต่เป็นหนังที่ให้ข้อคิดอะไรเยอะมากๆ แนะนำให้ไปดูกันครับ
สรุปให้ 8/10 ละกันครับ อย่างที่บอกว่าสำหรับผม มีช่วงที่ทำให้เบื่อๆไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วสนุกครับ

“ใครคือเพื่อนที่ทำให้เฮ
เจอกี่ทีต้องร้องฮูเล
ปิ้ง ป่อง ปิ้ง ปอง”


วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Review หนังเก่าสุดซึ้ง My sister's keeper

My sister’s keeper (2009)

Genre: Drama
Directors: Nick cassavetes
Stars: Cameron diaz, Abigail breslin, Alec bladwin, Sofia vassilieva







เรื่องย่อ

ชีวิตของซาร่า และไบรอัน ฟิทส์เจอรัล กับลูกชายตัวน้อยและเคท ลูกสาววัยสองขวบ ต้องเปลี่ยนไปตลอดกาลเมื่อพวกเขาได้รู้ว่าเคทป่วยเป็นโรคลูคีเมีย ความหวังเดียวของพ่อแม่คือการมีลูกอีกคน ด้วยความตั้งใจอย่างยิ่งที่จะรักษาชีวิตของเคทเอาไว้

Trailer



Review

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อลูกสาวของบ้านป่วยเป็นโรคลูคิเมีย ซาร่า (Cameron diaz) และสามี ไบรอัน จึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะช่วยชีวิตลูกสาวคนนี้ไว้ แต่ไม่มีใครที่สามารถบริจาคอะไรเพื่อช่วยเคทได้เลย จึงได้ไปปรึกษา หมอก็บอกว่า อ่ะ เอางี้ไหม ทำลูกอีกคน ทั้งสองคนลังเลนิดหน่อยก่อนจะตัดสินใจ (ไม่รู้ว่าเค้าเรียกว่าอะไรที่ทำให้เกิดมาแล้ว เซลล์ อวัยวะมันตรงกันเป๊ะๆ สะดวกต่อการบริจาค) ก็มีไป
แต่ประเด็นมันไม่ได้อยู่ตรงนั้น ประเด็นมันเริ่มจากเมื่อลูกสาวคนนี้โตขึ้น แอนนา (Abigail) ได้ตัดสินใจไปฟ้องร้อง แม่ของตัวเอง ข้อหาละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เนื่องด้วยแม่เป็นให้บริจาคนั่นนี่ของตัวเองให้พี่สาวอยู่เสมอ จนล่าสุดจำเป็นต้องบริจาคไตอีกข้าง


หนังเรื่องนี้บอกเลยว่า เป็นหนังไม่กี่เรื่องที่ทำให้ร้องไห้ได้เกือบแทบทุกฉาก การดำเนินเรื่องไม่มีช่วงไหนที่น่าเบื่อเลย หนังค่อยๆเล่ารายละเอียด เล่าความเป็นมาทีละนิดๆ จนเรารู้ว่าทำไมแต่ละตัวละครถึงแสดงออกแบบที่ทำ โดยเฉพาะตัว เคท เองที่เป็นมะเร็ง ได้ขอร้องน้องสาวให้ปลดปล่อยชีวิตเธอด้วยการหยุดบริจาคนั่นนี่ให้เธอเสียที แต่น้องจะขัดเองก็ไม่ได้ งานนี้เลยต้องจ้างทนาย
ขอพูดถึง Cameron diaz หน่อยดีกว่า ไม่บ่อยนักที่เราจะได้เห็น Cameron ในบทแบบนี้ เพราะส่วนใหญ่นางจะไปสาย Comedy มากกว่า แต่บทนี้ถือว่าทำได้ดีมากทีเดียว เข้าใจอารมณืของแม่ที่ต้องยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อลูกสาว ถึงขนาดปิดหูปิดตาตัวเองไม่ยอมรับฟังเสียงรอบข้าง แม้กระทั่งโกนหัวเป็นเพื่อนลูก เพียงแค่อยากจะยื้อชีวิตของเคทให้นานที่สุด
ส่วนตัวเคทเอง ได้รับความรักและความสนใจจากคนเป็นพ่อเป็นแม่อย่างเต็มที่ แต่ว่าเค้าก็รู้ตัวว่าเอาความสนใจจากพ่อแม่มาจนหมด เนื่องจากเพราะตัวเองป่วย จนตัวน้องชายและน้องสาวเองเหมือนไม่ได้รับความรักอย่างเพียงพอ
มีประโยคนึง เคท พูดว่า “I don’t mind my disease killing me, but it’s killing my family too”
ส่วนตัวแอนนาเองก็รักเคทด้วยความบริสุทธิ์ใจให้พี่ได้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้นมันจะมีจุดหนึ่งที่เคทรู้สึกว่า พอแล้ว ได้รับความรักเพียงพอแล้ว พร้อมที่จะไปแล้ว มีฉากนึงเป็นฉากสั่งเสียของเคทที่มีต่อแม่ เคทถามแม่ว่า จำได้ไหม ที่ตอนนั้นหนูจะไปทัศนศึกษา และหนูไม่กล้าไปเพราะหนูกลัวจะคิดถึงพ่อแม่ แม่บอกให้หนูนั่งติดหน้าต่างเวลามองกลับมาจะได้เห็นพ่อกับแม่ แล้วเคทก็พูดต่อว่า “I get the same seat now” เป็นฉากที่ลงตัวมากๆ ทั้งอารมณ์ ทั้งความรู้สึกของนักแสดง แม้กระทั่งของคนดูด้วย
เป็นหนึ่งในหนังที่ชอบมากที่สุดเรื่องหนึ่ง เพราะได้ข้อคิดเยอะมาก โดยเฉพาะ Message ที่ส่งไปถึงผู้ปกครองว่า บางทีควรฟังลูกบ้าง ว่าลูกต้องการอะไร อยากได้อะไร พยายามมองโลกในมุมที่กว้างขึ้น และควรรู้จักปล่อยวาง เพราะในที่สุดแล้ว ไม่มีใครสามารถอยู่ตลอดไปได้




เรื่องนี้เอาไป 10/10 ครับ เพลงประกอบแต่ละเพลงเพราะมาก เข้ากับสถานณการณ์ และฉากซึ้งกินใจเยอะ โดยเฉพาะฉากที่ แม่ไม่ยอมให้เคทไปทะเลเพราะเป็นห่วง จนกระทั่งทะเลาะกัน แต่สุดท้ายแม่ก็ตามไปดูแลอยู่ดี อยากรู้ว่าเป็นไงต้องไปดูครับ อยากบอกว่าดีจริงๆ แถมยังมีรางวัลการีนตีหลายรางวัลด้วย

Review หนังเก่า Freaky Friday

Freaky Friday (2003)

Genre: Comedy, Family, Fantasy
Stars: Jamie lee Curtis, Lindsay lohan
Director: Mark waters



เรื่องย่อ
Dr.Tess coleman (Jamie lee Curtis) และลูกสาววัยสิบห้า Anna Coleman (Lindsay Lohan) ไม่ลงรอยกันเท่าที่ควรด้วยความต่างของอายุ จนกระทั่งวันหนึ่ง ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนแปลงเมื่อ คุกกี้ สองชิ้นที่มีคำทำนายเดียวสร้างปาฏิหาริย์เล็กๆ รุ่งขึ้น วันศุกร์ของทั้งสองก็เริ่มมีบางอย่างแปลกประหลาดผิดธรรมชาติ เทส และ แอนนา ติดอยู่ในร่างของอีกฝ่าย


Trailer





Review


เรื่องราวเกิดขึ้นจากการที่ คุณหมอโคลแมน ที่แสดง Jamie และ แอนนา รับบทโดย Lindsay เป็นสองแม่ลูกที่ต่างกันสุดขั้ว ทะเลาะกันทุกวัน เข้ากันไม่ได้เลย โดยที่แอนนาก็รู้สึกว่านางโดนแย่งความรัก เพราะคุณหมอโคลแมนกำลังจะแต่งงานใหม่ ซึ่งสามีคนเก่าได้เสียชีวิตไปแล้ว แต่มันก็ยังไม่หมดแค่นั้นเพราะที่โรงเรียนของแอนนา แอนนานี่ก็เรื่องเป็นประจำทุกวันต้องเข้าห้อง Detention จนในที่สุดวันหนึ่ง หลังจากที่ทั้งสองก็ได้ทะเลาะกันเป็นปกติที่ร้านอาหารจีนแห่งหนึ่ง เนื่องจากแอนนาขอร่วมแข่งขันประกวดคอนเสิร์ต แต่มันดันตรงกับพิธีซ้อมแต่งงานพอดี เลยได้ทะเลาะกันครั้งใหญ่ ในระหว่างนั้นเอง ก็มีคุณป้าแก่ๆคนจีน เอาขนมเสี่ยงทายมาให้ หลังจากทั้งสองรับขนมนั้นแล้ว ปรากฏว่าตื่นเช้ามา สลับร่างกันซะงั้น


เรื่องนี้แค่ได้เจ้าแม่ The original scream queen มาปะทะกับ ขวัญใจวัยรุ่น Teen Queen (ในขณะนั้น) นี่ก็คุ้มมากแล้ว ถึงแม้ว่าการแสดงของ Jamie จะโอเวอร์แอคติ้งไปสักหน่อย แต่ก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไร ส่วน Lindsay ทำดีมากๆ น่ารักมาก ช่วงนั้นเธอทางด้านสาย Comedy อยู่แล้ว
การดำเนินเรื่อง เรียกได้ว่าไม่มีช่วงที่หน้าเบื่อเลย ต้องยกความดีความชอบให้ Disney ทำหนังดีเกือบทุกเรื่องอยู่แล้ว เป็นหนัง remake ของ Disney ที่ไม่ว่าจะหยิบมาดูกี่ครั้งก็ไม่มีเบื่อ
Plot เรื่องถึงมันจะดูเกินจริงไปหน่อย แต่ก็อย่างว่ามันออกแนว Fantasy ที่ดีที่สุดของหนังเรื่องนี่คือเราจะได้เห็นพัฒนาการตัวละคร ระหว่างที่สลับร่างกัน และได้รับรู้มุมมองของอีกคน ทำให้เข้าใจชีวิตแต่ละฝ่ายมากขึ้น อย่างตัวคุณแม่เองที่ต้องไปโรงเรียนก็ได้ต่อกรเพื่อนสาวสุดแสบ และหนุ่มสุดฮอตที่ลูกสาวตัวเองแอบชอบ (แอบแสบเหมือนกัน ตอนที่ Dr.Coleman ในร่างลูกสาว แอบลบกระดาษคำตอบของเพื่อนสาวสุดแสบ และเขียนทับลงไปว่า I’m  stupid 555) ส่วนฝั่งลูกสาวในร่างคุณแม่ ก็ต้องไปเจอกับคนไข้สุดประสาท จนท้ายที่สุดแล้ว ตอนจบก็ออกแนว Happy Ending ต่างฝ่ายต่างเข้าใจกัน และปรับตัวที่จะเรียนรู้ และยอมรับซึ่งกันและกัน และได้สลับร่างคืน หนังแนวครอบครัวหลายๆเรื่องที่ได้ชมส่วนใหญ่จะเน้นเรื่องการสื่อสารในครอบครัว การพูดคุยกัน ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่อง และทำได้ดีมากๆ และในช่วงที่หนังฉายก็ได้ขึ้นไปอยู่อันดับสองของ Box office อีกด้วย เรียกว่าเป็นหนังที่ดูกี่รอบก็ไม่เบื่อ และควรมีแผ่นติดบ้านไว้ด้วย


สรุป ผมให้คะแนนหนังเรื่องนี้ 10/10 อย่างที่บอกแค่นักแสดงนี่ก็คุ้มแล้ว ตำนานทั้งนาน ยิ่งมีเรื่องรายได้มาการันตีด้วยนี่ไม่ต้องสงสัย สิ่งที่ผมชอบที่สุดคงจะเป็นเพลงในเรื่องทั้ง Take me away ที่วงในเรื่องเล่น และอีกเพลง Ultimate ที่ร้องโดยนักแสดงนำอย่าง Lindsay Lohan อีกด้วย





วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Review หนังเก่าน่าดู The kids are all right

The kids are all right (2010)

Genre: Comedy, Drama

Director: Risa Cholodenko

Cast: Julianne Moore, Annette Bening, Mark ruffalo, Mia Wasikowska, Josh hutcherson.

 

เรื่องย่อ

Jules (Julianne Moore) และ Nics (Annette Benning) เป็น 2 สาว คู่เลสเบี้ยน ทั้งคู่มีลูกด้วยกันจากการผสมเทียม ในธนาคารน้าเชื้อ จนกระทั่งมีลูกชาย (Josh Hutcherson) และ ลูกสาว (Mia Wasikowska) เมื่อทั้ง 2 คนโตขึ้น ก็อยากทราบว่าพ่อ ของเขาและเธอคือใคร จนกระทั่งพบว่า Paul (Mark Ruffalo) เป็น เจ้าของน้ำเชื้อที่แข็งแรง เรื่องวุ่นๆจึงเกิดขึ้น


Trailer




Review


เรื่องราวในหนังดูเหมือนจะง่ายๆไม่ซับซ้อน ดูสบายๆได้เรื่อยๆไม่เครียด แต่กลับให้ข้อคิดอะไรบางอย่างตลอดทั้งเรื่อง 
โดยเรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อครอบครัว คู่เลสเบี้ยน ครอบครัวหนึ่ง ได้ทำการผสมเทียมจากเสปิร์มของผู้บริจาค จนมีลูกด้วยกันสองคน เรื่องวุ่นๆเริ่มเกิดขึ้นเมื่อ ลูกชายคนเล็กอยากพบพ่อผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองขึ้นมา แต่เนื่องจากอายุยังไม่ถึง 18 จึงไปขอให้พี่สาวช่วย จนเมื่อพวกเขาได้พบกัน ความก็เกิดแตก แถมตัวลูกสาวยังอยากที่เจอพ่ออีก ต้องยอมรับในการแสดงของ Annette (Nic) ที่ทำให้เราเข้าใจในอารมณ์ของตัวละครว่า กำลังรู้สึกเหมือนโดนแย่งความรักจากคนในครอบครัวไป โดยไม่ต้องแสดงออกโต้งๆทีเดียว แต่ว่ามันค่อยๆเผยมาทีละนิด ทั้งลูกๆที่ดูจะเห่อ Paul พ่อใหม่เป็นพิเศษ และภรรยา Jules (julianne) เมื่อได้มีโอกาสลองไปทำงานกับ Paul (mark) แล้ว เกิดความรู้สึกดี เพราะดูเหมือนว่าPaul จะเข้าใจความรู้สึกของตน และให้เกียรติในงานของตนมากกว่า Nic จนทั้งสองถึงขั้นเกินเลยกันในที่สุด จนเมื่อNic รู้ความจริง ปัญหาต่างๆในครอบครัวก็ได้ตามมา


ผมชอบที่หนังให้ความรู้สึกผ่อนคลาย ไม่เครียด แถมยังสอดแซกมุกตลกๆมาเป็นระยะ เราสามารถจับจุดได้เองว่า ตัวละครแต่ละตัวมีปมยังไง หนังไม่ได้ยัดเยียดให้เราแบบน่าเกลียด และสอดแทรกข้อคิด ทำให้เราคิดตาม สะท้อนกลับมองดูตัวเองตลอดเวลา และให้เห็นว่า การสื่อสารกันในครอบครัวสำคัญขนาดไหน




โดยส่วนตัวแล้ว ขอชื่นชม Mia Wasikowska ในปีเดียวกันเธอได้แสดงหนังเรื่อง Alice in wonderland ซึ่งเป็นชาวออสเตรเลีย แต่สามารถทำได้ดีทั้งสำเนียง British และ American English

ในหนังไม่ได้มีฉากที่ให้จดจำมากนัก แต่ผมชอบตอนที่ลูกชายแอบจิกกัดแม่ๆทั้งสองว่า           “I don’t think you guys should break up, I think you’re too old” แอบฮา มันอาจจะดูเหมือนเป็นแค่การพูดหยอกล้อเล่นๆ แต่สำหรับผมมันแฝงไปด้วยอะไรมากมาย  สุดท้ายแล้วพอลก็เป็นแค่บุคคลคนหนึ่งที่ก้าวเข้ามาในช่วงเวลาสั้นๆ แต่กลับทำให้ครอบครัวนี้เข้าใจกัน และรักกันแน่นแฟ้นยิ่งกว่าเดิม

หนังเรื่องนี้ยังชนะ The Golden Globe Award for Best Motion Picture - Musical or Comedy และยังได้รับเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลจาก Academy award ถึง 4 สาขา


ผมให้ 9/10 เลยครับ ที่หักหนึ่งคะแนน เพราะผมคิดว่าน่าจะมีเพลงเพราะๆให้จดจำบ้าง